Categories > Cartoons > All Dogs Go To Heaven

เหตุใดเราถึงมี อาการกรน

by Hendrix32Bertelsen

เสียงกรน (Snoring) เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ต...

Category: All Dogs Go To Heaven - Rating: NC-17 - Genres: Romance - Warnings: [!!!] - Published: 2016-09-27 - 107 words
?Blocked
เสียงกรน (Snoring) เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่ แท้จริงแล้ว ปัญหานอนกรน เป็นเครื่องบอกว่า ทางเดินหายใจของท่านกำลังมีการตีบแคบ ซึ่งบริเวณที่ตีบแคบนี้ อาจรวมถึงเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น ลิ้นไก่ โคนลิ้น เพดานอ่อน ซึ่งเกิดการหย่อนตัวลงในขณะนอนหลับ เมื่อบริเวณดังกล่าว มีอากาศของเราวิ่งผ่าน ก็จะเกิดการสั่นสะเทือนและมีเสียงกรนขึ้น
ในภาวะที่ผู้นอนกรนมีช่องคอแคบมากจากอวัยวะต่างๆ ในช่องคอ เช่น ลิ้นไก่ ลิ้น เพดานอ่อนหย่อนยานมาก มีการอุดกั้นช่องทางการหายใจจนถึงขนาดปิดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนโดยทั้งหมด ซึ่งเราเรียกภาวะ เหล่านี้ว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA) หรือที่นิยมเรียกว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มักจะมีลักษณะกรนดังไม่สม่ำเสมอ กรนเสียงดังมาก มีอาการสำลักน้ำลายเป็นครั้งคราว ตื่นนอนกระทันหันระหว่างที่นอน หรือมีอาการหายใจหอบเหมือนอาการขาดอากาศ การที่ร่างกายขาดอากาศอยู่เป็นประจำเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของเราได้ในระยะยาว
ปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องเด็กมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจทำให้เกิดความผิดปรกติของพัฒนาการ ทั้งทางสมองและสุขภาพ เด็กอาจซุกซนมากผิดปกติหรือก้าวร้าว ปัสสาวะรดที่นอน เรียนหนังสือแย่ลง หรือเด็กอาจมีปัญหาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ โรค sleep apnea นี้ ประมาณการว่าในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 และพบได้มากกว่านี้ในผู้มีอายุ ส่วนภาวะนี้ในเด็กมักพบได้เพียงร้อยละ 1

อะไรบ้างที่เป็นอาการบ่งบอกถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
หากท่านมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณอันตราย ว่าท่านเป็นโรคนอนกรนหรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ซึ่งเป็นภาวะที่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมของท่าน
- ตื่นนอนมาแล้วไม่สดชื่น
- ปวดหัวตอนตื่นนอน
- นอนร่วมกับผู้อื่นไม่ได้เนื่องจากกรนดังมาก
- รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นนอนบ่อยๆ คอแห้ง
- ง่วงนอนมากผิดปรกติระหว่างวัน หงุดหงิดง่าย อารมณ์บึ้งตึง
- รู้สึกหายใจไม่สะดวกเวลานอน
- มีผู้อื่นสังเกตเห็นว่าหายใจไม่สม่ำเสมอ และกรนดังและหยุดเป็นช่วงๆ ระหว่างที่นอนหลับ
- มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจ
ส่วนในเด็กนั้น อาจมี เสียงกรน คล้ายผู้มีอายุได้ หรือนอนหลับไม่ค่อยสนิท หายใจติดขัด คัดจมูกเป็นประจำต้องอ้าปากหายใจบ่อยๆ อาจมีปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ หรือมีพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ผลการเรียนตกต่ำลง เติบโตช้ากว่าวัย เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคนอนกรนมีขั้นตอนอะไรบ้าง
หากมีอาการกรนเสียงดังเป็นประจำ หรือสงสัยว่าอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรนัดแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับเป็นการด่วน หรือแพทย์หู คอ จมูก พร้อมกับคู่สมรส หรือผู้ที่พบเห็นอาการ โดยมีขั้นตอนการวินิจฉัยดังนี้
- ก่อนตรวจ ควรทำแบบสอบถามด้านการนอน (Medical and sleep history) จากนั้นจึงเข้าพบแพทย์ เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติม ในส่วนที่สำคัญและเกี่ยวข้อง
- รับการตรวจร่างกาย วัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนักตัว วัดชีพจรและความดันโลหิต วัดความยาวเส้นรอบวงของลำคอ หรือรอบเอว หลังจากนั้น แพทย์อาจทำการตรวจ ศีรษะ คอ จมูก ช่องปาก อย่างละเอียด เพื่อตรวจวัดลักษณะของทางเดินหายใจส่วนต้น รวมทั้งตรวจร่างกายในส่วนอื่นๆ เช่น ปอด และหัวใจ หรือระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- บางครั้ง อาจต้องตรวจลำคอและโพรงจมูกโดยการส่องกล้อง (Endoscopy) ที่แผนกหู คอ จมูก และส่ง X-ray บริเวณศีรษะ ลำคอ รวมทั้ง การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่นๆ หากจำเป็น
- โดยทั่วไปแล้ว แพทย์มักจะให้ทำ sleep test ร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นการตรวจ คลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) การวัดลักษณะการหายใจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อบริเวณคางและขา (EMG) การเคลื่อนไหวของลูกตาEOG) การวัดความเคลื่อนไหวของท้องและหน้าอก และการวัดปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด (SpO2)
ซึ่งการตรวจการนอนหลับ อาจทำในโรงพยาบาล หรือตรวจด้วยเครื่องตรวจแบบไร้สาย (mobile test) โดยอาจทำที่บ้านก็ได้ ซึ่งทำให้ผู้ตรวจรู้สึกสบาย และนอนหลับได้เป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ทั้งนี้ เนื่องจากการตรวจอาจมีได้หลายแบบ และมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน จึงควรปรึกษากับแพทย์ด้านการนอนหลับว่า การตรวจแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวท่านมากที่สุด
ที่ไหนที่ให้บริการตรวจการนอนหลับบ้าง?
เป็นคำถามที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ และถ้าตรวจมาแล้วควรรักษานอนกรนด้วยวิธีไหน ซึ่งหลายท่านอาจเริ่มสับสน ซึ่งอาจได้ทั้งจากการที่มีข้อมูลมากเกิน หรือไม่รู้ว่าจะไปหาข้อมูลได้จากไหน ในความเห็นส่วนตัวของผม การรักษานอนกรนนั้น ควรหาเวลาไปปรึกษา กับแพทย์ด้านการนอนหลับโดยเฉพาะ และควรตรวจการนอนหลับก่อนครับ ส่วนจะตรวจที่ไหนดี ผู้เขียนได้พยายามศึกษาหาข้อมูลมาให้ที่นี้แล้ว หวังว่าจะพอเป็นทางเลือกให้กับท่านได้ครับ
1) โรงพยาบาลเอกชน (ไม่สามารถใช้สิทธิ์เบิกข้าราชการ)
รพ.กรุงเทพ ซ.ศูนย์วิจัย ถ. เพชรบุรี โทร. 02-310-3010, 02-310-3000 ต่อแผนก หู คอ จมูก
- ทุกวันอาทิตย์ 10.00 - 13.00 น.
รพ.ศิริราชปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) โทร. 1474
- ทุกวันอังคาร 14.00 - 15.00 น.
รพ.ตา หู คอ จมูก แผนกหูคอจมูก โทร. 02-886-6600-16
รพ.เทพธารินทร์ คลินิคการนอนหลับ โทร. 0-2348-7000 ต่อ 3123, 3109
2) โรงพยาบาลรัฐบาล (ใช้สิทธิ์เบิกของข้าราชการได้ทั้งค่าตรวจและเครื่อง CPAP)
ราคาค่าตรวจมักจะไม่แพงเท่าของเอกชน แต่คิวตรวจนานมาก ครับ ตัวอย่าง รพ. รัฐบาลที่มีบริการตรวจการนอนหลับและเครื่อง CPAP มีดังนี้
รพ.จุฬาลงกรณ์
คลินิกในเวลาราชการ (ท่านต้องมาด้วยตนเอง ไม่สามารถโทรนัดได้)
- วันจันทร์ - อังคาร (13.00-16.00) ศูนย์นิทราเวช ชั้น 5 อาคารผู้ป่วยในพิเศษ 14 ชั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
- วันพุธ (13:00 - 15:00) คลินิกนอนกรน แผนกหูคอจมูก ตึกผู้ป่วยนอก (ตึก ภ.ป.ร.) ชั้น 10
คลินิกนอกเวลาราชการ (โทรนัดพบแพทย์ในคลินิกนอกเวลาได้ที่หมายเลข 02-256-5166, 02-256-5175)
- วันพุธ (16:30 - 19:30) คลินิกนอนกรน แผนกหูคอจมูก ตึกผู้ป่วยนอก (ตึก ภ.ป.ร.) ชั้น 10
- วันเสาร์ (8:30 - 11:30) คลินิกนอนกรน แผนกหูคอจมูก ตึกผู้ป่วยนอก (ตึก ภ.ป.ร.) ชั้น 10
รพ. รามาธิบดี
- ศูนย์โรคการนอนหลับโรงพยาบาลรามาธิบดี ชั้น 7 ward 1 อาคารศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ โทร. 02-200-3768
3) ตรวจการนอนหลับที่บ้าน (Home Sleep Test)
การตรวจการนอนหลับที่บ้าน (Home Sleep Test) หรือการตรวจการนอนหลับแบบนอกสถานที่ (Out-of-center Sleep Testing; OCST) หรืออาจเรียกว่า การตรวจการนอนหลับแบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable monitoring of sleep; PMs) นั้นอาจเรียกได้อีกอย่างว่า การตรวจการนอนหลับแบบไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้า (unattended sleep study) หรือ ตามที่ทางสมาคมแพทย์โรคจากการหลับของสหรัฐอเมริกา (AASM) กำหนดว่าเป็นการตรวจ Level 2-4 ซึ่งปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลก อย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้มีการเบิกจ่ายค่าตรวจรักษาด้วยวิธีการต่างๆ เหล่านี้ได้ ทำให้ในบัจจุบันการตรวจที่บ้านมีแนวโน้ม เป็นที่ต้องการขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะการตรวจแบบนี้จะประหยัดทั้งเงินและแรงงานคน นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยโรคนอนกรนหรือมีความเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ สามารถเข้าถึงการตรวจได้มากขึ้น
การตรวจการนอนหลับนอกสถานที่นั้น ยังแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
3.1) การตรวจการนอนหลับนอกสถานที่ ระดับ 2 (Level II)
จัดเป็นการตรวจแบบครบชุด (Full Polysomnography) คือสามารถตรวจวัดคลื่นสัญญาณไฟฟ้าสมอง (EEG) ขณะที่นอนหลับได้ เป็นเครื่องแบบพกพา มีขนาดกะทัดรัด ไม่จำเป็นต้องเข้านอนทันที เช่น เดินเข้าห้องน้ำ อ่านหนังสือ โดยไม่ต้องถอดเครื่องมือออก โดยผลการบันทึกการนอนหลับของท่าน จะถูกอ่านและวิเคราะห์ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนกรนโดยเฉพาะ (Sleep Doctor) การตรวจด้วยวิธีนี้จะมีราคาถูกกว่าในโรงพยาบาล และผู้ป่วยมักนอนหลับได้ดีกว่า เพราะได้หลับในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองคุ้นเคย ทำให้ผลการตรวจมีความแม่นยำใกล้เคียงกับการนอนกปกติมากที่สุด
Sleep test Level 2 นั้น เป็นการตรวจวัดข้อมูลการนอนหลับมากกว่า 7 สัญญาณขึ้นไป คล้ายกับการตรวจการนอนหลับที่ทำในโรงพยาบาลหรือศูนย์การนอนหลับ โดยเจ้าหน้าที่จะไปติดอุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณการนอนหลับให้ถึงที่พักของผู้รับการตรวจในช่วงหัวค่ำ และมาถอดอุปกรณ์เพื่อนำไปดาวน์โหลดข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แต่จะไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระหว่างนอนหลับ ถ้าผู้ป่วยที่ไม่พร้อมเคลื่อนย้าย การตรวจแบบนี้จะเหมาะมาก หรือ อาจเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและต้องได้รับการตรวจและรักษาโดยด่วน ซึ่งอาจมีอันตราย จากการหยุดหายใจตอนหลับ ระหว่างที่รอคิวตรวจ ซึ่งโรงพยาบาลมีบริการไม่เพียงพอ และคิวรอตรวจยาวนาน
การตรวจวิธีนี้ มีข้อได้เปรียบมากกว่าการตรวจในโรงพยาบาล คือ ผู้ป่วยจะได้นอนในบ้านของตนเอง จึงรู้สึกมีความเป็นส่วนตัว และผ่อนคลายได้มากกว่า อย่างไรก็ดี สัญญาณการตรวจต่างๆ อาจหลุดออกได้ เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่เผ้า ซึ่งในทางปฏิบัติ มักพบปัญหาเหล่านี้น้อย เพราะในปัจจุบัน เทคนิคการติดตั้งอุปกรณ์การตรวจ มีการปรับปรุงมากขึ้นกว่าสมัยก่อน อีกอย่าง ผลการตรวจควรได้รับการอ่านและแปลผลโดยแพทย์ด้านการนอน
3.2) การตรวจการนอนหลับนอกสถานที่ ระดับ 3 Level 3
หรือเรียกว่า Respiratory Polygraphy หรือ Cardiopulmonary Monitoring ได้ โดยจะวัดสัญญาณได้ประมาณ 4-7 ช่องสัญญาณ โดยจะเน้นที่การหายใจและระบบหัวใจ หรืออธิบายง่ายๆ คือ จะมีการตรวจ คล้ายกับการตรวจการนอนหลับในโรงพยาบาล แต่จะไม่มีการตรวจคลื่นสมอง ลูกตา และคาง จึงไม่สามารถบอกได้ว่าผู้รับการตรวจอยู่ในระยะการนอนหลับ หรือตื่นมากน้อยเพียงใด ข้อดีของวิธีนี้ ก็เหมือนกับการตรวจนอกสถานที่วิธีอื่นๆ คือ ประหยัด สะดวก ง่าย ติดได้รวดเร็ว มีอุปกรณ์น้อยกว่า จึงทำให้ผู้ที่ได้รับการตรวจนอนหลับได้สนิทมากกว่า
การตรวจวิธีนี้อาจใช้เพื่อการวินิจฉัยในกลุ่มเสี่ยงต่อการมี ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยมีระดับความรุนแรงตั้งแต่ปานกลางถึงรุนแรง แต่ไม่สามารถรอคิวการตรวจในโรงพยาบาลได้ นอกจากนี้ ยังอาจใช้ในการตรวจติดตามผลการรักษา หลังการผ่าตัด หรือใช้เครื่องมือในช่องปากได้ อย่างไรก็ตาม การตรวจระดับ 3นี้ อาจมีผลการตรวจที่คลาดเคลือนได้
ดังนั้นผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ แต่ไม่พบความผิดปกติจากการตรวจด้วยวิธีนี้ หรือผู้ที่มีโรคอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจขาดเลือด, ภาวะอ้วนทุพลภาพที่มีการหายใจต่ำ, COPD, หรือ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และผู้ที่สงสัยว่ามีโรคจากการนอนหลับ เช่น ขากระตุกตอนที่หลับ, หรือ โรคลมหลับ แพทย์อาจให้ตรวจแบบมาตรฐานระดับที่ 1 แทน นอกจากนี้ ผลการตรวจควรได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ด้านการนอนหลับโดยเฉพาะเช่นกัน
3.3) การตรวจการนอนหลับนอกสถานที่ ระดับ 4 หรือ Level 4
เป็นการตรวจขนาด 1-3 ช่องสัญญาณ โดยส่วนมาก จะประกอบไปด้วย การวัดระดับออกซิเจนในเลือด ร่วมกับการวัดลมหายใจ อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ได้รับจะค่อนข้างน้อยกว่าวิธีอื่น จึงมีข้อจำกัดมากกว่า และปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง
นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยังมีการทดสอบแบบอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ทุกๆ วิธ๊ก็มีข้อจำกัดแตกต่างกันไป ดังนั้นเพือเป็นการดีที่สุด ผู้รับการตรวจควรนัดเจอแพทย์ด้านการนอนหลับก่อน เพื่อวินิจฉัยว่า เหมาะสมกับการตรวจแบบไหนต่อไป
Sign up to rate and review this story